Bangpakok Hospital

มาตรการเตรียมพร้อม “โควิด” เข้าสู่โรคประจำถิ่น

24 มิ.ย. 2565



 

มาตรการเตรียมพร้อม “โควิด” เข้าสู่โรคประจำถิ่น


ความหมายของคำที่ใช้อธิบายระดับของโรคติดต่อและประเภทของโรคติดต่อตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคือ พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

ระดับของโรคติดต่อ  แบ่งได้อย่างน้อย 4 ระดับตามจำนวนผู้ป่วยที่พบ เทียบกับค่าคาดการณ์และการแพร่กระจายในเชิงภูมิศาสตร์ ได้แก่

  • การระบาด (Outbreak) หมายถึง เหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยมากผิดปกติ เช่น พบผู้ป่วยตั้งแต่ 2 รายขึ้นไปในระยะเวลาอันสั้นหลังร่วมกิจกรรมกัน พบผู้ป่วยมากกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลังในพื้นที่และช่วงเวลาเดียวกัน หรือพบผู้ป่วยโรคที่ไม่เคยพบในพื้นที่นั้นมาก่อนเพียง 1 ราย ยกตัวอย่าง การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง, การระบาดของไข้เลือดออกในจังหวัดแห่งหนึ่ง

 

  • โรคระบาด (Epidemic) หมายถึง การระบาดที่แพร่กระจายมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ เช่น โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในลาตินอเมริกาปี 2014, โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในทวีปแอฟริกาตะวันตกระหว่างปี 2014-2016 ทั้งนี้ ในทางวิชาการคำว่า Outbreak และ Epidemic มีความหมายเดียวกัน ใช้แทนกันได้ แต่คำว่า Outbreak จะหมายถึงการระบาดที่มีขอบเขตของพื้นที่แคบกว่า

 

  • การระบาดใหญ่ (Pandemic) หมายถึง การระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วโลก เช่น ไข้หวัดใหญ่ปี 1918 หรือที่รู้จักกันในชื่อไข้หวัดสเปน, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009, โควิด-19 สำหรับไข้หวัดใหญ่ องค์การอนามัยโลกแบ่งระยะของการระบาดใหญ่เป็น 6 ระยะ และ 2 ช่วงหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงแล้ว ได้แก่ ช่วงหลังจุดสูงสุด (Post Peak) และช่วงหลังการระบาดใหญ่ (Post Pandemic)

 

  • โรคประจำถิ่น (Endemic) หมายถึง โรคที่มีอัตราป่วยคงที่ในพื้นที่ และมักคาดการณ์ได้ว่าส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่ใด ฤดูไหน จำนวนมากน้อยเท่าไร เช่น ไข้เลือดออกในมากกว่า 100 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยซึ่งพบผู้ป่วยตลอดทั้งปีและมากขึ้นในฤดูฝน ไข้มาลาเรียในทวีปแอฟริกา หากในพื้นที่นั้นมีการระบาดของโรคประจำถิ่นในระดับสูงจะเรียกว่า Hyperendemic

 

ประเภทของโรคติดต่อตามกฎหมาย

ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 นิยาม ‘โรคติดต่อ’ หมายถึง โรคที่เกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรค ซึ่งสามารถแพร่โดยตรงหรือทางอ้อมมาสู่คน แบ่ง 3 ประเภท ได้แก่

 

โรคติดต่ออันตราย หมายถึง โรคที่มีความรุนแรงสูงและสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้รวดเร็ว ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ประกาศ ปัจจุบันมีทั้งหมด 14 โรค ได้แก่ กาฬโรค, ไข้ทรพิษ, ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก, ไข้เวสต์ไนล์, ไข้เหลือง, ไข้ลาสซา, โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์, ไวรัสมาร์บวร์ก, ไวรัสอีโบลา, ไวรัสเฮนดรา, โรคซาร์ส, โรคเมอร์ส, วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก

 

และล่าสุดคือ โควิด-19 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563

 

โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง โรคติดต่อที่ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ หรือจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ประกาศ ปัจจุบันมีทั้งหมด 55 โรค เช่น กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง, การติดเชื้อในโรงพยาบาล, ไข้เลือดออก, ไข้หวัดนก, ไข้หวัดใหญ่, คอตีบ, คางทูม, บาดทะยัก, พยาธิใบไม้ตับ, โรคติดเชื้อไวรัสซิกา, โรคเท้าช้าง, โรคพิษสุนัขบ้า ฯลฯ

 

โรคระบาด หมายถึง โรคติดต่อหรือโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคแน่ชัด ซึ่งอาจแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หรือมีภาวะของการเกิดโรคมากผิดปกติกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งตั้งแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ยังไม่เคยประกาศให้โรคใดเป็นโรคระบาด ความแตกต่างระหว่างโรคติดต่อทั้ง 3 ประเภทนี้ ที่สำคัญคือการรายงานโรคและมาตรการในผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัส

 

การรายงานโรค : บุคคล 4 กลุ่มตามกฎหมาย ได้แก่ เจ้าบ้านหรือแพทย์ผู้รักษา, ผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาล, ผู้ชันสูตร และเจ้าของหรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ ที่พบโรคติดต่ออันตรายจะต้องแจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมง โรคระบาดภายใน 24 ชั่วโมง และโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังภายใน 7 วัน

 

มาตรการ : ผู้ติดเชื้อโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาดจะถูกแยกกัก (Isolation) จนพ้นระยะแพร่เชื้อ ในขณะที่ผู้สัมผัสโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาดจะถูกกักกัน (Quarantine) หรือคุมไว้สังเกต (Close Observation) จนพ้นระยะฟักตัว ยกตัวอย่าง โควิด-19 ผู้ติดเชื้อจะถูกแยกกักที่โรงพยาบาล/บ้าน 10 วัน ส่วนผู้สัมผัสจะถูกกักกันที่บ้าน 14 วัน ต่อมาเปลี่ยนเป็นกักกัน 7 วัน + คุมไว้สังเกต 3 วัน (สามารถออกไปทำงานได้)

 

แต่สำหรับโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังจะไม่มีมาตรการแยกกัก/กักกัน/คุมไว้สังเกต นอกจากนี้ถ้าเป็นโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาด ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะมีอำนาจในการสั่งปิดสถานที่ เช่น โรงงาน สถานศึกษา สถานที่สาธารณะ ไว้เป็นการชั่วคราว และสั่งให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยหยุดการประกอบอาชีพชั่วคราวได้

 

ดังนั้นการเรียกโควิด-19 เป็น ‘โรคระบาดใหญ่’ หรือลดระดับลงมาเป็น ‘โรคประจำถิ่น’ จะขึ้นอยู่กับอัตราการเกิดโรคและรูปแบบการกระจายของโรคในเชิงพื้นที่/ภูมิศาสตร์

 

สำหรับมาตรการเตรียมพร้อม “โควิด” เข้าสู่โรคประจำถิ่น จาก ศบค.  (ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) มีดังนี้

  1. ประชาชน 2U
  • Universal Prevention คือ การป้องกัน/ระวังตนเองเมื่อต้องใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง
  • Universal Vaccination คือ การรับวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นในประชาชนทุกกลุ่ม

 

  1. สถานประกอบการ เช่น โรงเรียน สถานที่ทำงาน
  • COVID Free Setting
  • ยกเลิก ตรวจวัดอุณหภูมิ / จำกัดการเดินทางข้ามพื้นที่

ตรวจ ATK เมื่อมีอาการ หรือสงสัยติดเชื้อ

  1. กระทรวงสาธารณสุข 3 พอ
  • เตียงเพียงพอ สำหรับผู้ป่วยโควิดและผู้ป่วยโรคทั่วไป
  • ยา / วัคซีน เพียงพอ
  • หมอ พอ
  1. โรงพยาบาล

COVID ward ปรับเป็นหอผู้ป่วย โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วไป

 

นอกจากนี้

ที่สำคัญเป้าหมายของการบริหารจัดการเพื่อให้เข้าสู่โรคประจำถิ่น คือ

  1. การเข้าถึงการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ อัตราป่วยตายไม่เกินร้อยละ 0.1

2.ความครอบคลุมวัคซีนเข็มกระตุ้นต้องมากกว่าร้อยละ 60  เรื่องนี้สำคัญ เพราะเข็ม 1 และเข็ม 2 ทะลุ 60% แต่เข็มกระตุ้นยังต่ำอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุแค่ 20-30% บางจังหวัดยังเป็นหลักหน่วยด้วยซ้ำ

  1. สร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความร่วมมือของประชาชนในการรับมือและปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกับโควิด

โดยมีมาตรการ 4 ด้าน คือ ด้านสาธารณสุข ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมายและสังคม และด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้ร่วมกันทั้งหมดให้ทิศทางไปด้วยกัน

 

สำหรับ 4 มาตรการในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น

 ประกอบด้วย

  1. ด้านสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่า 60% ปรับระบบการเฝ้าระวัง เน้นการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และผู้ป่วยปอดอักเสบ ผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ปรับแนวทางแยกกักผู้ป่วยและกักกันผู้สัมผัส

 

  1. ด้านการแพทย์ ปรับแนวทางการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก หรือ OPD ดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง และมีอาการรุนแรง รวมทั้งภาวะ Long COVID

 

  1. ด้านกฎหมายและสังคม บริหารจัดการด้านกฎหมายในทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกับการปรับตัวเข้าสู่ Post pandemic ผ่อนคลายมาตรการทางสังคม ลดการจำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก และทุกภาคร่วมดำเนินการมาตรการป้องกันตัวเองแบบครบวงจร และ COVID Free Setting

 

  1. ด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ทุกภาคส่วนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรมให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับโควิด 19 อย่างปลอดภัย และสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างครอบคลุมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างความร่วมมือของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา

 

ที่มา : ศบค.  (ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)


ติดตามช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ของโรงพยาบาลบางปะกอก 3

Facebook : https://www.facebook.com/bangpakok3

LINE Official Account :  https://page.line.me/947ptrfh

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCrWTFEyhNwZtPo2JieYZftw

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.