ปัจจัยเสี่ยง เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
รู้ไว้ รักษาทัน
ลดอันตรายจาก Stroke หรือโรคหลอดเลือดสมอง
เพราะ “เวลา” คือเรื่องที่สำคัญที่สุดของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะถ้าหลอดเลือดแตก ตีบ หรืออุดตัน ไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้ จะส่งผลให้สมองและระบบประสาทเกิดความเสียหาย เสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือเสียชีวิต
สังเกตอาการด้วย BEFAST
- Balance เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุน ฉับพลัน
- Eyes ตามัว มองเห็นไม่ชัด เห็นภาพซ้อนฉับพลัน
- Face ใบหน้าและปากเบี้ยวเฉียบพลัน
- Arms แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก
- Speech พูดไม่ชัด ติดขัด นึกคำพูดไม่ออก
- Time รีบไปโรงพยาบาล ต้องรักษาใน 4 ชั่วโมง
โดยอาการของโรคหลอดเลือดสมองจะแสดงออกมาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่เกิดการผิดปกติ
สัญญาณเตือนดังกล่าว อาจเกิดเพียงอาการเดียวหรือหลายอาการร่วมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในสมองที่ได้รับความเสียหาย บางรายอาจมีอาการผิดปกติชั่วขณะหนึ่ง แล้วดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมง นับจากที่มีอาการผิดปกติครั้งแรก
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง- ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- โรคอ้วน ทานอาหารที่มีไขมันมาก รสเค็ม
- สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่อง
- ดื่มสุราในปริมาณมาก
- ใช้สารเสพติด
- โรคประจำตัวและความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ไขมันคลอเรสเตอรอลสูง
- เบาหวาน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- โรคหัวใจ เช่น ภาวะะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation, ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ (infective endocarditis)
- โรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (severe carotid or vertebral stenosis)
- ภาวะเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดผิดปกติ (Polycythemia vera or Essential thrombocytosis)
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Thrombophilia)
- โรคหลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรค Moyamoya, Cerebral autosomal dominant and subcortical leukoencephalopathy (CADASIL) มีการเซาะตัวของผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (carotid or vertebral artery dissection)
ปัจจัยอื่น ๆที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- อายุ — ผู้สูงวัยอายุ 55 หรือมากกว่า มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดโรค มากกว่าคนหนุ่มสาว
- เชื้อชาติ— กลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
- เพศ — เพศชายมีความเสี่ยงสูงมากกว่าเพศหญิงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แต่เพศหญิงมักจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุมากขึ้น และพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
- การใช้ฮอร์โมน — การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะแทรกซ้อน
โรคหลอดเลือดสมองสามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่ผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว หรือส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความพิการถาวร ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดเลือด และขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ
- อัมพาต
ผู้ป่วยอาจจะเกิดอัมพาตส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกาย หรือไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า อาการอาจจะเกิดขึ้นบริเวณด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้าหรือแขน
- ปัญหาการพูดหรือการกลืน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองคือผู้ป่วยจะมีปัญหาในการพูด การกลืน หรือการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ผู้ป่วยจะพบปัญหาด้านภาษาอย่างเช่นการพูดคุย การพยายามทำความเข้าใจคำพูดของคนอื่น การอ่านและการเขียนหนังสือ
- สูญเสียความทรงจำ หรือปัญหาเกี่ยวกับสมอง
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองจะเกิดอาการสูญเสียความทรงจำ ผู้ป่วยบางคนอาจจะพบปัญหาเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ หรือการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ
- อารมณ์แปรปรวน
ผู้ป่วยจะพบปัญหาในการบริหารอารมณ์ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า
- เจ็บปวดหรือชาบริเวณร่างกาย
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด หรือชาบนร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง ยกตัวอย่างเช่นหากโรคส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกในแขนด้านซ้าย ผู้ป่วนจะเริ่มรู้สึกเจ็บแปล๊บแขนด้านดังกล่าว
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและเกิดการทอดทิ้งตัวเอง (Self-neglect)
โรคอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีการปลีกแยกจากสังคม และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในการดูแลตัวเองและทำกิจวัตรประจำวัน
การวินิจฉัยโรค
หลังจากที่ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการตรวจผู้ป่วยด้วย CT scan หรือ MRI และแพทย์จะวินิจฉัยแยกโรคที่มีอาการใกล้เคียงอย่างเช่น เนื้องอกในสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงผิดปกติ อื่น ๆ ด้วยวิธีการ
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจเลือด
- การตรวจ CT scan
- การตรวจ MRI
- การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid doppler ultrasound)
- การฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiogram)
วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองและภาวะเสี่ยง
- ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
ในระยะแรกที่เกิดอาการเส้นเลือดในสมองตีบ แพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วย หากมีข้อบ่งชี้ของการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดและไม่มีข้อห้าม แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดและตรวจหลอดเลือดสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA brain) ในกรณีที่มีหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่อุดตัน แพทย์จะรักษาโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบและขึ้นไปที่สมอง (endovascular procedure) เพื่อนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดออกมา (Mechanical thrombectomy)
การใช้ยาเพื่อการรักษา
แพทย์จะทำการสั่งยาเหล่านี้ เพื่อช่วยลดโอกาสการกำเริบของโรคหลอดเลือดสมอง
- ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet)
- ยาละลายลิ่มเลือด (anticoagulant)
- ยาลดไขมัน (statin)
- ยาลดความดันโลหิต
- ยารักษาโรคเบาหวาน
แนวทางการรักษารูปแบบอื่น ๆ
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดที่คอตีบรุนแรง (severe carotid stenosis) และมีอาการของสมองขาดเลือด แพทย์จะรักษาโดยการทำผ่าตัดหลอดเลือดเพื่อนำเอาส่วนของไขมันที่หลอดเลือดออกมา (carotid endarterectomy) หรือการใส่ขยายหลอดเลือดที่ตีบและใส่ขดลวด (carotid angioplasty and stenting)
- การรักษาภาวะหลอดเลือดสมองแตก
หากมีอาการภาวะหลอดเลือดสมองแตก มีการพิจารณาการรักษา ดังนี้
การรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
- การผ่าตัดสมอง
ในกรณีที่เกิดจากหลอดเลือดโป่งพอง พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอเลือดและใส่ขดลวด (coiling)
โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (cerebral arteriovenous malformation) พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดและใช่สารอุดหลอดเลือดที่ผิดปกติ (transarterial/venous embolization) หรือ radiosurgery
แนวทางการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ควรป้องกันก่อนการเกิดโรคและควรควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการ ตีบ อุดตัน หรือแตก โดยมีแนวทางการป้องกันโรค ดังนี้
- ปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง
- เลิกสูบบุหรี่
- ควบคุมอาการของโรคเบาหวาน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รับประทานผลไม้และผักให้มากยิ่งขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ลดการดื่มสุรา
- เข้ารับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
ที่มาข้อมูล : สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)
ติดตามช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ของโรงพยาบาลบางปะกอก 3
Facebook : https://www.facebook.com/bangpakok3
LINE Official Account : https://page.line.me/947ptrfh
YouTube : https://youtube.com/channel/UCrWTFEyhNwZtPo2JieYZftw